“อัลไซเมอร์” หรือที่คนทั่วไปเรียก “สมองเสื่อม”
ในปี 2021 WHO (องค์การอนามัยโลก) ประเมินว่ามีประชากรโลกประมาณ 55 ล้านคนที่เป็นโรคสมองเสื่อม และตัวเลขนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 78 ล้านคนภายในปี 2030 และมากกว่า 139 ล้านคนภายในปี 2050 ซึ่งเป็นผลมาจากประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากกรมการแพทย์ระบุว่า มีผู้ป่วยสมองเสื่อมประมาณ 800,000-1,000,000 คน ซึ่งอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด และจำนวนผู้ป่วยอัลไซเมอร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามอัตราการสูงวัยของประชากรไทย ในปี 2022 ประมาณว่าประชากรไทยที่อายุมากกว่า 60 ปี จะมีจำนวนถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลให้มีผู้ป่วยอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
สาเหตุหลักของการเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์:
- พันธุกรรม
- การถ่ายทอดทางพันธุกรรม: ในกรณีที่เป็น Familial Alzheimer’s disease (FAD) ซึ่งหายาก มักพบการกลายพันธุ์ในยีนที่เกี่ยวข้อง เช่น APP (Amyloid Precursor Protein), PSEN1, และ PSEN2 ทำให้เกิดการสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์ในสมองเร็วขึ้น คนที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- ยีน APOE: ยีน APOE-ε4 เป็นยีนเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ โดยเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคในคนที่มียีนนี้ 2-3 เท่า
- อายุ
- อายุ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด โดยผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์มากขึ้น
- ปัจจัยเกี่ยวกับสุขภาพ
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน การสูบบุหรี่ และการไม่ออกกำลังกาย ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ: การบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงในอดีต อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
- ความเครียดเรื้อรัง และการพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการนอนหลับไม่ดีเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเสี่ยงการโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ในปัจจุบัน:
เมื่อก่อนการเกิดโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ส่วนใหญ่ถูกเชื่อมโยงกับปัจจัยทางพันธุกรรมและอายุเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น เช่น การมีชีวิตที่ไม่สุขภาพ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด และโรคทางสุขภาพเรื้อรังที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม
ปัจจุบันนักวิจัยได้เน้นถึงความสำคัญของการป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ผ่านการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น การลดน้ำหนัก การรักษาระดับความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และการส่งเสริมการนอนหลับที่ดี ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้
เมื่อมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะในด้านอารมณ์ ภาระทางการดูแล และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อครอบครัว:
1 ผลกระทบทางอารมณ์
การที่สมาชิกในครอบครัวเป็นผู้ป่วยสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์สามารถทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และความโศกเศร้าในสมาชิกครอบครัว เนื่องจากการเห็นคนที่รักสูญเสียความสามารถในการจดจำและดำเนินชีวิตตามปกติ การดูแลผู้ป่วยระยะยาวอาจทำให้ผู้ดูแลมีความเหนื่อยล้าทางจิตใจและร่างกาย (caregiver burnout) อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าและความเครียดเรื้อรัง
2 การเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน
ผู้ดูแลต้องปรับเปลี่ยนตารางชีวิตส่วนตัวเพื่อดูแลผู้ป่วย ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงาน การเข้าสังคม และการดูแลตนเอง ความขัดแย้งระหว่างการดูแลผู้ป่วยกับความรับผิดชอบอื่นๆ อาจทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เช่น ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง หรือคู่สมรส
3 ภาวะทางเศรษฐกิจและค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าบริการดูแลในระยะยาว (long-term care) ค่าปรับปรุงบ้านให้เหมาะสมกับผู้ป่วย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเดินทางไปโรงพยาบาล ยิ่งไปกว่านั้น หากสมาชิกในครอบครัวต้องหยุดงานหรือลดชั่วโมงการทำงานเพราะต้องดูแลผู้ป่วยโดยตรง รายได้ของครอบครัวอาจลดลง ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในประเทศไทยประมาณการณ์ว่าต้องใช้เงิน 30,000-100,000 บาท/เดือน สำหรับผู้ป่วยสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ระยะติดเตียง
4 การสนับสนุนทางสังคม
ผู้ดูแลมักขาดการสนับสนุนทางสังคมที่เพียงพอ เช่น การช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดหรือการเข้าถึงบริการดูแลผู้ป่วยภายนอก ในหลายกรณี ผู้ดูแลต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตนเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตของผู้ดูแลอย่างมาก
แนวทางการรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ในอดีต
ในอดีตการรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือ Alzheimer’s disease ยังจำกัดและมุ่งเน้นไปที่การจัดการอาการมากกว่าการรักษาให้หายขาด ส่วนใหญ่ใช้ยาต้านโคลิเนสเตอเรส (Cholinesterase inhibitors) เพื่อช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่เรียกว่า อะเซทิลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง เครื่องมือเหล่านี้ช่วยลดความรุนแรงของอาการเช่น ความจำเสื่อมและความสับสน
อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาด้วยยาประเภทนี้ยังมีข้อจำกัด ยามักจะช่วยบรรเทาอาการได้เพียงช่วงสั้นๆ ไม่ได้หยุดยั้งการเสื่อมของสมองที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรค Alzheimer’s
นอกจากนี้ยังมีการใช้การกระตุ้นสมองด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
- การฟื้นฟูด้วยการกระตุ้นสมองผ่านการใช้กิจกรรมทางความคิด เช่น การแก้ปริศนา การอ่านหนังสือ การสนทนา เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง วิธีนี้ช่วยชะลอการเสื่อมของความสามารถในการคิดและความจำ
- การฟื้นฟูทางการเรียนรู้ การเรียนรู้และการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง และช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของสมอง
- การดูแลด้านจิตสังคม การสนับสนุนทางจิตใจและอารมณ์แก่ผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงการจัดการกับความเครียดและซึมเศร้า เป็นสิ่งที่สำคัญในกระบวนการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือ Alzheimer’s disease
ซึ่งผลการรักษาในยุคแรกๆ ช่วยเพียงบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตในระยะสั้น ผู้ป่วยยังคงเผชิญกับการเสื่อมของสมองที่ต่อเนื่อง โดยยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลอย่างยั่งยืนหรือฟื้นฟูสมองที่เสียหายแล้วได้อย่างสมบูรณ์
การกระตุ้นฟื้นฟูสมองในปัจจุบัน
TPS Brainwell✚ ก้าวข้ามขีดจำกัดการกระตุ้นฟื้นฟูสมองผู้ป่วยสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้จริง!
1. TPS นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการกระตุ้นฟื้นฟูสมองคืออะไร?
TPS คือ Transcranial Pulse Stimulation นวัตกรรมใหม่ในการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นพัลส์ผ่านกระโหลกศีรษะ คือเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound waves) ในลักษณะคลื่นกระแทกพลังงานต่ำ (low intensity shock wave) ในการกระตุ้นสมองเพื่อการรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ โดยมีความได้เปรียบมากกว่าวิธีการรักษาแบบเดิม ทั้งในด้านการบรรเทาอาการและการปรับปรุงการทำงานของสมอง ไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ คลื่นพัลส์นี้จะกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเซลล์สมองที่เสียหายและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองส่วนที่ได้รับการกระตุ้น เทคโนโลยีนี้ถือเป็นความหวังใหม่ในการฟื้นฟูสมองของผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์
2. ข้อดีของ TPS เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการรักษาเดิม
- กระตุ้นการซ่อมแซมสมอง: TPS ช่วยกระตุ้นการเชื่อมต่อและการซ่อมแซมเซลล์สมอง ลดการเสื่อมสภาพของสมองในผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์
- เพิ่มการทำงานของสมอง: TPS ช่วยปรับปรุงการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในด้านความจำและการคิด ซึ่งมีผลดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์
- ปลอดภัยและไม่เจ็บ: TPS ไม่ทำให้เกิดบาดแผลหรือผลข้างเคียงที่รุนแรง เหมาะสำหรับการรักษาระยะยาวในผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นตัว
- การกระตุ้นที่เฉพาะเจาะจง: TPS สามารถส่งคลื่นพัลส์ไปยังบริเวณสมองสำคัญ เช่น ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความจำซึ่งได้ผลดีในผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์
- ส่งเสริมการฟื้นฟูสมอง: TPS ช่วยส่งเสริมการสร้างเส้นเลือดใหม่ในสมองหลังการรักษา 3 เดือน และเพิ่มความสามารถในการฟื้นฟูของสมอง (neuroplasticity)ในผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์
- พัฒนาคุณภาพชีวิต: ผู้ป่วยที่ได้รับ TPS มีการพัฒนาความจำ ความสนใจ และการใช้ภาษา ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
3. ผลการรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ ด้วย TPS Brainwell✚

การรักษาด้วย TPS Brainwell✚ มีผลดีต่อความสามารถในการจดจำและคิด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของสมองได้ดีกว่าการใช้ยาและวิธีการรักษาแบบเดิม ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังการรักษา 1-3 เดือน และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน การวิจัยเกี่ยวกับ TPS Brainwell✚ ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อพัฒนาวิธีการรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. นอกจากผู้ป่วยสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์แล้ว TPS สามารถช่วยฟื้นฟูโรคอะไรได้อีกบ้าง?
TPS ใช้ฟื้นฟูสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ให้ความจำดีขึ้นอย่างชัดเจน และในงานวิจัยใหม่ๆพบว่าช่วยในเรื่องของผู้ที่มีปัญหาความจำ สมองล้า, brain fog จาก long covid, ออทิสติก, เรียนรู้ช้า และซึมเศร้าได้ ซึ่งข้อมูลกำลังศึกษาและตีพิมพ์มากขึ้นเรื่อย ๆ
5. การกระตุ้นฟื้นฟูสมองด้วย TPS มีผลข้างเคียงหรือไม่?
อาจมีอาการ เช่น ปวดตึงหน้าผากหรือปวดศีรษะ มักหายภายใน 4-6 ชั่วโมง, หิวมากขึ้น รับประทานอาหารมากขึ้น, ง่วงนอน หลับเยอะ หรือ อาจจะนอนดึกขึ้น ตื่นตัว ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละราย
6. คำแนะนำสำหรับระยะเวลาในการกระตุ้นฟื้นฟูสมองด้วย TPS Brainwell✚
วิธีมาตรฐาน TPS ใช้เวลา 30-60 นาที กระตุ้น 6 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องโกนศีรษะ เพียงแค่ทาเจลนำคลื่นที่ศีรษะ และใช้การนำทางด้วย MRI (MRI Neuronavigation) มีการแสดงผลแบบเรียลไทม์ด้วยสีเพื่อช่วยให้กระตุ้นสมองได้อย่างแม่นยำ
ทำไมต้อง TPS Brainwell✚ ที่ Brainwell Medical?
Brainwell Medical เป็นผู้บุกเบิกการนำนวัตกรรมการฟื้นฟูสมองด้วยเทคโนโลยี TPS เข้าสู่ประเทศไทยเมื่อต้นปี 2567 โดยการค้นพบนวัตกรรมการฟื้นฟูสมองด้วยเทคโนโลยี TPS Brainwell✚ ในการประชุมประสาทวิทยาโลกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อช่วงปี 2565 จนในปี 2566 ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของไทย
ทีมแพทย์จาก Brainwell Medical ได้ร่วมพัฒนาองค์ความรู้และวิธีการรักษากับผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกในฐานะ official treatment center เพื่อฟื้นฟูอาการทางสมองหลากหลายชนิด เช่น ภาวะซึมเศร้า ความจำเสื่อม, โรคอัลไซเมอร์, โรคพาร์กินสัน, โรคออทิสติก, ภาวะการเรียนรู้บกพร่อง และปัญหาการพูด นอกจากนี้ยังมีการใช้ biomarker อื่นๆร่วมด้วย เช่น qEEG, LORETA เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการกระตุ้นสมอง

ข้อควรระวัง!
แน่นอนว่าในทุกการกระตุ้นฟื้นฟูสมอง ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีการแพทย์ใด หรือนวัตกรรมเทคโนโลยีแบบใด ย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลักสำคัญที่สุด ดังนั้น Brainwell Medical จึงมีคำแนะนำ ข้อควรระวัง ข้อห้าม สำหรับการกระตุ้นสมองด้วย TPS ดังนี้
หากท่านมีอาการเหล่านี้, ควรหลี่กเลี่ยงการเข้ารับการกระตุ้นฟื้นฟูสมองด้วย TPS
- เป็นอัมพาตภายใน 3 สัปดาห์
- มีเส้นเลือดสมองโป่งพอง
- มีมะเร็งหรือเนื้องอกในสมอง
- มีอาการชักอยู่และควบคุมไม่ได้
- มีเลือดออกในสมองอยู่
- มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือโลหะในศีรษะ
- ติดเชื้อ เป็นแผล หรือเพิ่งมีอุบัติเหตุที่ศีรษะ
- คลุ้มคลั่งอาละวาด
- มีโรคการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (เช่น ฮีโมฟีเลีย)
- กินยาละลายลิ่มเลือดโดสสูง
- มีลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
- ได้รับการบำบัดด้วยสเตียรอยด์คอร์ติโซนภายใน 6 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีข้อควรระวังข้างต้น อาจจะสามารถทำ TPS ได้แต่ต้องให้แพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญด้าน TPS Brainwell✚ ประเมินเป็นราย ๆ ไป
- World Health Organization (WHO). (2020). “Dementia.” WHO Fact Sheets.
- Alzheimer’s Disease International (ADI). (2018). “World Alzheimer Report 2018.”
- Ministry of Public Health, Thailand. (2021). “Dementia in Thailand: The Silent Threat.”
- Health Systems Research Institute (HSRI). (2021). “Research on Aging and Dementia in Thailand.”