โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมอง ส่งผลกระทบต่อความจำ การเรียนรู้ และการคิดวิเคราะห์ ซึ่งมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ ดังนี้
- การสะสมของโปรตีนเบต้าอะไมลอยด์ (Beta-amylod plaques) สะสมในเนื้อสมองและขัดขวางการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง
- การสะสมของโปรตีนเทา(Tau tangles) ทำให้เกิดนิวโรไฟบริลาลีแทงเกิล (Neurofibrillary tangle) ทำให้เซลล์ประสาทตาย
- การลดลงของสารสื่อประสาทแอซิทิลโคลีน (Acetylcholine)
- พันธุกรรม
- ปัจจัยด้านสิ่งแเวดล้อมและวิถีชีวิต เช่น นอนดึก นอนน้อย หยุดหายใจขณะนอนหลับ ติดโควิด ดื่มแอลกอฮอล์ ใช้สารเสพติด เป็นต้น
อาการตามระยะของโรคอัลไซเมอร์
1. ระยะเริ่มต้น
ในระยะนี้ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มักมีอาการหลงลืมเล็กน้อย เช่น:
- หลงลืมข้อมูลใหม่: จำสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ เช่น ลืมชื่อคนหรือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
- มีปัญหาในการใช้ภาษา: มีปัญหาในการเรียกชื่อสิ่งของหรือใช้คำพูด
- การรับรู้คลาดเคลื่อน: อาจหลงทางในสถานที่ที่คุ้นเคย
2. ระยะกลาง
เมื่อโรคดำเนินไป ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีอาการที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น:
- ลืมคนที่ใกล้ชิด: ลืมชื่อสมาชิกในครอบครัว หรือลืมความสัมพันธ์กับบุคคลที่คุ้นเคย
- มีปัญหาในการทำกิจกรรมประจำวัน: เช่น การทำอาหาร การแต่งตัว หรือการดูแลตัวเอง
- การเปลี่ยนแปลงในบุคลิกภาพ: อาจมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือซึมเศร้า
3. ระยะรุนแรง
ในระยะนี้ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และอาจมีอาการดังนี้:
- สูญเสียความสามารถในการสื่อสาร: ไม่สามารถพูดหรือเข้าใจคำพูดได้
- การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย: อาจมีปัญหาในการเคลื่อนไหวหรือการควบคุมร่างกาย
- ไม่รู้จักสถานที่และเวลา: ไม่สามารถระบุวัน เวลา หรือสถานที่ได้

การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์
การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์นั้นประกอบด้วยหลายขั้นตอน ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย และการทดสอบทางจิตวิทยา นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพสมองเพื่อช่วยในการวินิจฉัย โดยเฉพาะการใช้ MRI (Magnetic Resonance Imaging) และ PET (Positron Emission Tomography) ซึ่งสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสภาพสมองของผู้ป่วย

การตรวจพิเศษ
- Neuropsychological Tests:
- การทดสอบทางจิตวิทยา เช่น Mini-Mental State Examination (MMSE) และ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) จะช่วยประเมินความสามารถในการจำ การคิด และการทำงานของสมองในผู้ป่วย การลดคะแนนในการทดสอบเหล่านี้สามารถบ่งชี้ถึงการเสื่อมสภาพของการทำงานทางจิต
- MRI (Magnetic Resonance Imaging):
- Medial Temporal Atrophy: การตรวจ MRI มักพบการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อในบริเวณ medial temporal lobe ซึ่งรวมถึง hippocampus (ฮิปโปแคมปัส) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการจัดเก็บความทรงจำ การมีการฝ่อตัวของบริเวณนี้มักบ่งชี้ถึงการเกิดโรคอัลไซเมอร์
- Cortical Atrophy: นอกจาก medial temporal atrophy แล้ว ยังสามารถพบการฝ่อตัวของเปลือกสมอง (Cortex) ในบริเวณอื่น ๆ ของสมอง ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงการเสื่อมสภาพที่เกิดขึ้นในระยะต่อมา
- PET (Positron Emission Tomography):
- Amyloid Plaques: การตรวจ PET สามารถใช้สารเรืองแสงที่เชื่อมโยงกับ amyloid plaques ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคอัลไซเมอร์ การพบ amyloid plaques ในสมองสามารถยืนยันการวินิจฉัยได้
- Glucose Metabolism: PET ยังสามารถใช้ในการตรวจสอบการเผาผลาญกลูโคสในสมอง ซึ่งมักพบว่ามีการลดลงในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของความจำ เช่น posterior cingulate cortex
การรักษาอัลไซเมอร์โดยใช้ยา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีการรักษาที่ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของสมองและบรรเทาอาการ โดยการใช้ยาต่าง ๆ เช่น:
- ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors ช่วยเพิ่มระดับสารสื่อประสาท Acetylcholine ในสมอง
- ยากลุ่ม NMDA Receptor Antagonists ช่วยควบคุมการทำงานของ Glutamate สารสื่อประสาทที่มีบทบาทในการเรียนรู้และความจำ
การรักษาอัลไซเมอร์โดยไม่ใช้ยา
- การบำบัดทางจิตวิทยา: การบำบัดนี้มุ่งเน้นไปที่การช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการของโรค เช่น การบำบัดด้วยการพูด (Talk Therapy) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถแสดงความรู้สึกและจัดการกับความเครียด
- การฝึกสมอง: การทำกิจกรรมที่กระตุ้นสมอง เช่น การเล่นเกมปริศนาหรือการอ่านหนังสือ ช่วยให้สมองมีการทำงานและชะลอการเสื่อมของความจำ
- การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำมีผลดีต่อสุขภาพสมอง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดความเครียด
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: การรับประทานอาหารที่ดีต่อสมอง เช่น อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 และการนอนหลับที่เพียงพอ สามารถช่วยชะลอการเสื่อมของสมองได้
- การกระตุ้นสมองด้วย TMS และ TPS: เทคนิคเหล่านี้ใช้ในการกระตุ้นการทำงานของสมองเพื่อช่วยปรับปรุงความจำและการเรียนรู้
การรักษาอัลไซเมอร์ด้วยการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก TMS (Transcranial Magnetic Stimulation)
TMS เป็นเทคนิคที่ใช้คลื่นแม่เหล็ก (ใช้คำว่าแม่เหล็กเฉยๆ ไม่มีคำว่าไฟฟ้า) กระตุ้นเซลล์ประสาทในสมอง โดยมีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า TMS สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของสมองในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้ การกระตุ้นด้วย TMS มักมุ่งเน้นไปที่บริเวณที่เกี่ยวข้องกับความจำ ซึ่งมีผลในการปรับปรุงความสามารถในการจำและการเรียนรู้
การรักษาอัลไซเมอร์ด้วยการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นพัลส์ TPS (Transcranial Pulse Stimulation)
TPS เป็นเทคนิคที่ใช้คลื่นเหนือเสียงหรือคลื่นกระแทกพลังงานต่ำซึ่งเรียกว่าคลื่นพัลส์ในการกระตุ้นเซลล์ประสาท ซึ่งมีการวิจัยเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นว่า TPS ช่วยในการปรับปรุงการทำงานของสมองในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้

งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับ TPS
การศึกษาในปี 2024 ได้เริ่มสำรวจผลกระทบของ TPS ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โดยพบว่าการกระตุ้นด้วย TPS สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจำและลดอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการในระยะเริ่มต้น โดยการกระตุ้น 6 ครั้ง สามารถช่วยเพิ่มคะแนนความจำได้ 6-12 เดือน
TPS จัดเป็นวิธีการรักษาอัลไซเมอร์แบบใหม่ ที่ไม่ต้องใช้ยา และ ไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ดีเนื่องจากเป็นวิธีรักษาแบบใหม่ ควรเข้ารับคำปรึกษาและดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้ความชำนาญอย่างแท้จริง
ปรึกษาการฟื้นฟูสมองเสื่อมด้วย TPS และ TMS ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะรายบุคคล การส่งต่อ ปรึกษาเคส การประชุม การจัดอบรมวิชาการ หรือความร่วมมือสำหรับบุคลากรการแพทย์
ติดต่อ Brainwell Medical ✚ www.BrainwellMedical.com
Brainwell Medical ✚ | Advanced Brain Stimulation