ใช่คุณหรือเปล่า? มาเช็กกันว่าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเสี่ยงหรือไม่!
คุณเคยกำลังเดินไปหาสิ่งของบางอย่าง….. แต่พอถึงจุดหมายแล้วกลับลืมไปเสียอย่างนั้น?
คุณเคยพยายามนึกถึงเหตุการณ์บางเรื่อง….. แต่กลับจำไม่ได้เลย?
คุณจำคนบางคนไม่ได้….. จำเรื่องที่ต้องทำประจำวันที่เคยทำไม่ได้….. จำไม่ได้ว่ากินข้าวแล้วหรือยัง?….. จำไม่ได้ว่ากินยาแล้วหรือยัง?…..จำไม่ได้ว่าวางสิ่งของไว้ตรงไหน?
หากคุณหรือคนรอบ ๆตัวเริ่มประสบปัญหากับเหตุการณ์เหล่านี้ อย่าปล่อยไว้นานจนคุณลืมคนในครอบครัวที่รักของคุณเอง เพราะความผิดปกตินี้อาจเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ซึ่งเป็นปัญหาที่มีผลต่อความทรงจำของเรา!
โรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ เป็นโรคที่ทำให้เซลล์ในสมองค่อยๆ เสื่อมสภาพ และมีผลกระทบต่อความจำและความสามารถในการคิด พูดง่ายๆ ก็คือ มันทำให้เราลืมสิ่งที่เคยรู้ เช่น ชื่อของคนที่เรารัก หรือแม้แต่ที่ตั้งของกุญแจรถยนต์! หากมองในมุมตลก โรคนี้อาจจะทำให้คุณกลายเป็นนักเดินทางท่องโลกโดยไม่ต้องออกจากบ้าน เพราะลืมทุกสิ่งรอบตัวนั่นเอง
การวินิจฉัยโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ต้องอาศัยการตรวจวินัจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง ผู้มีประสบการณ์ ละเอียดและใส่ใจในผู้ป่วย เนื่องจากโดยปกติแล้วจะมีอาการเริ่มต้นเช่น ลืมเรื่องเล็กน้อยหรือความยากลำบากในการจัดการกิจวัตรประจำวัน ในกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจมีปัญหาด้านการสื่อสารและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัจจุบันการรักษาฟื้นฟูโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ก้าวหน้าไปมาก ด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากต่างประเทศ เข้ามารักษาฟื้นฟูสมองควบคู่ไปกับการรับประทานยา, กิจกรรมบำบัด และการให้ความรู้และการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ไม่ใช่แค่คนที่ลืมไปแล้ว และสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ครอบครัวกลับมาเข้าใจกันมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง!
ทำความเข้าใจระยะของโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์

โรคสมองเสื่อม (Dementia) และโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เป็นกลุ่มอาการทางสมองที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมของเซลล์ประสาท (Neurodegeneration) โดยมีผลกระทบต่อการทำงานของสมองในหลายด้าน รวมถึงความทรงจำ การคิดวิเคราะห์ และการใช้ชีวิตประจำวัน โรคเหล่านี้มักจะมีการดำเนินโรคเป็นระยะต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามความรุนแรงของอาการที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ
ระยะที่ 1: ระยะก่อนแสดงอาการ (Preclinical Stage)
ในระยะนี้ เซลล์ประสาทในสมองเริ่มเสื่อมลงอย่างช้า ๆ แต่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการชัดเจนหรือไม่สามารถสังเกตได้ชัดเจน นักวิจัยพบว่าในบางกรณี ระดับของโปรตีนผิดปกติ เช่น โปรตีนแอมิลอยด์เบต้า (Amyloid-beta) และโปรตีนเทา (Tau protein) เริ่มสะสมในสมองก่อนที่อาการจะปรากฏ ซึ่งการตรวจพบในระยะนี้สามารถทำได้โดยการตรวจภาพสมองหรือการตรวจหาสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับโรคในน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid analysis)
ระยะที่ 2: ระยะอาการเบื้องต้น (Mild Cognitive Impairment – MCI)
ระยะนี้เรียกอีกอย่างว่า ภาวะบกพร่องทางการรู้คิดเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment, MCI) ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในด้านความจำและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แต่ยังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างอิสระ อาการที่พบได้บ่อยคือการลืมเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น (Short-term memory loss) หรือการยากลำบากในการหาคำพูด
ระยะที่ 3: ระยะอัลไซเมอร์ระยะต้น (Mild Alzheimer’s Disease)
ในระยะนี้ การเสื่อมของเซลล์สมองเริ่มส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ผู้ป่วยอาจลืมการนัดหมาย หรือสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน การทำงานที่ต้องใช้ความคิดซับซ้อนจะยากขึ้น เช่น การจัดการการเงินหรือการวางแผน การตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ จะลดลง (Judgment impairment) ผู้ป่วยในระยะนี้ยังสามารถใช้ชีวิตได้เกือบปกติ แต่ต้องการการช่วยเหลือบ้างในบางกิจกรรม
ระยะที่ 4: ระยะอัลไซเมอร์ปานกลาง (Moderate Alzheimer’s Disease)
อาการในระยะนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างมาก ผู้ป่วยอาจลืมชื่อคนใกล้ชิด สับสนกับสถานที่หรือเวลา (Disorientation) และมีปัญหาในการสื่อสาร (Communication difficulty) อาจจำเป็นต้องมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การแต่งตัวและการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงในบุคลิกภาพ (Personality changes) เช่น มีความวิตกกังวล หรืออาการซึมเศร้าเพิ่มขึ้น
ระยะที่ 5: ระยะอัลไซเมอร์รุนแรง (Severe Alzheimer’s Disease)
ในระยะนี้ ผู้ป่วยจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือตลอดเวลา การสื่อสารจะยากขึ้นอย่างมาก และมักจะไม่สามารถจดจำคนใกล้ชิดได้ การทำงานของสมองเสื่อมลงจนส่งผลต่อร่างกาย เช่น การเดิน การกิน หรือการกลืนอาหาร (Dysphagia) ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น การติดเชื้อที่ปอด (Pneumonia) หรือแผลกดทับ (Pressure ulcers)

รู้ทันรักษาก่อนความจำลบเลือน!
8 อาการหรือสัญญาณบ่งบอกภาวะโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
1. ความบกพร่องทางความจำ (Memory Impairment)
หนึ่งในสัญญาณที่พบบ่อยที่สุดคือการลืมข้อมูลที่เพิ่งได้รับ (Recent Memory Loss) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลืมเหตุการณ์สำคัญในชีวิตประจำวัน เช่น การลืมสถานที่ที่วางสิ่งของ การลืมชื่อบุคคลที่รู้จักดี หรือถามคำถามเดิมซ้ำๆ (Repetitive Questioning) สิ่งนี้แสดงถึงการทำงานที่เสื่อมถอยของฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่มีบทบาทในการจัดเก็บความจำใหม่ๆ
2. ความยากลำบากในการวางแผนและแก้ปัญหา (Difficulty in Planning and Problem Solving)
ผู้ที่เริ่มมีภาวะสมองเสื่อมมักจะประสบกับความยากลำบากในการจัดการกับงานที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ (Executive Function) เช่น การติดตามการเงิน (Financial Management) การทำอาหารตามขั้นตอนที่ซับซ้อน หรือการวางแผนกิจกรรมประจำวัน (Routine Planning) ซึ่งแสดงถึงการทำงานที่บกพร่องของสมองส่วนหน้าของสมอง (Frontal Lobe)
3. ความสับสนทางด้านเวลาและสถานที่ (Disorientation to Time and Place)
ผู้ป่วยอาจหลงลืมเวลา (Time) วันที่ (Date) หรือสถานที่ (Place) ที่ตนอยู่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการทำงานผิดปกติของสมองในด้านการรับรู้สถานการณ์รอบตัว (Spatial and Temporal Orientation) การหลงลืมเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสับสนและกังวลได้บ่อยครั้ง
4. การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Behavior and Mood Changes)
การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และบุคลิกภาพ (Personality Changes) มักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อม เช่น ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด (Irritability) ซึมเศร้า (Depression) วิตกกังวล (Anxiety) หรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคม (Socially Inappropriate Behavior) ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมถอยของสมองส่วนลิมบิก (Limbic System) และสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์
5. การหลงลืมภาษาหรือการพูด (Language and Communication Impairment)
ผู้ที่เริ่มมีภาวะสมองเสื่อมอาจประสบปัญหาในการหาคำพูด (Word Finding Difficulty) หรือใช้คำพูดที่ไม่สอดคล้องกัน (Incoherent Speech) เช่น การพูดวกวนหรือใช้คำที่ไม่ถูกต้องในการอธิบายสิ่งต่างๆ สิ่งนี้อาจเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมองส่วนวอร์นิเก้ (Wernicke’s Area) ที่เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจภาษา
6. การสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจ (Impaired Judgment)
ผู้ป่วยมักทำการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ปลอดภัย (Poor Judgment) เช่น การข้ามถนนโดยไม่ระมัดระวัง หรือการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่ไม่สมเหตุสมผล นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่แสดงถึงความบกพร่องในการทำงานของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการตัดสินใจและพฤติกรรม
7. การสูญเสียความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ (Apathy or Loss of Initiative)
ผู้ป่วยอาจเริ่มไม่สนใจในกิจกรรมที่เคยสนุกหรือมีความกระตือรือร้นน้อยลง (Loss of Interest) ซึ่งอาจแสดงออกมาในรูปแบบของการอยู่บ้านมากขึ้น หรือละเลยหน้าที่หรือความรับผิดชอบต่างๆ นี่อาจเป็นสัญญาณของการเสื่อมถอยในสมองส่วนที่ควบคุมแรงจูงใจ (Motivational Circuitry) หรือสมองส่วนหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจและการกระทำ
8. การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการนอนหลับ (Sleep Disturbances)
การเปลี่ยนแปลงในวงจรการนอน (Sleep-Wake Cycle) เช่น การนอนไม่หลับ (Insomnia) หรือนอนมากเกินไป (Hypersomnia) มักเป็นสัญญาณหนึ่งที่พบในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมองที่ส่งผลต่อการควบคุมวงจรการนอน
สัญญาณเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์สามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ความบกพร่องทางความจำ ความสามารถในการตัดสินใจและการวางแผน การสับสนเรื่องเวลาและสถานที่ จนถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรม การสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ในระยะเริ่มต้นจะเป็นประโยชน์ในการทำให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยวิธีการใหม่ๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี Transcranial Pulse Stimulation (TPS) ที่มีความเป็นไปได้ในการช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง

โรคสมองเสื่อม (Dementia) และโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) โดยปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและการป้องกัน ได้เสนอแนวทางที่มีความเป็นไปได้ในการชะลอหรือป้องกันโรคเหล่านี้ การป้องกันโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์มักเริ่มต้นจากการเข้าใจ ปัจจัยเสี่ยง (Risk factors) ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโรค
ปัจจัยเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ได้แก่
- อายุ (Age): อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด โดยความเสี่ยงของการเกิดโรคจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
- พันธุกรรม (Genetics): การมีประวัติครอบครัวที่มีผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะการมีการกลายพันธุ์ของยีน APOE-e4 จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค
- ปัจจัยเกี่ยวกับโรคหลอดเลือด (Vascular factors): ความดันโลหิตสูง (Hypertension), โรคเบาหวาน (Diabetes), และโรคหลอดเลือดหัวใจ (Cardiovascular disease) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคสมองเสื่อม เนื่องจากการทำลายระบบหลอดเลือดในสมองส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาท
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ (Smoking and Alcohol consumption): การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมของระบบประสาท
- การศึกษาต่ำและการขาดกิจกรรมทางสมอง (Low educational attainment and lack of cognitive activity): ระดับการศึกษาและการฝึกสมองน้อยมีความสัมพันธ์กับการลดลงของการสร้างเครือข่ายเซลล์ประสาทในสมอง
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่อาจช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมได้ แนวทางการป้องกัน เช่น:
- การออกกำลังกาย (Physical activity): การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ลดการสะสมของเบต้าอะไมลอยด์และโปรตีนทาว
- อาหารที่มีประโยชน์ (Healthy diet): อาหารประเภท MIND Diet (Mediterranean-DASH Diet Intervention for Neurodegenerative Delay) ที่เน้นการบริโภคผัก ผลไม้ ปลา และน้ำมันมะกอก ช่วยลดการเสี่ยงของการเกิดสมองเสื่อม
- การควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด (Blood pressure and blood sugar control): การควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน มีความเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงต่อการเกิดสมองเสื่อม
- การฝึกสมอง (Cognitive training): การฝึกสมอง เช่น การเล่นเกมที่ใช้ความคิด หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ มีส่วนช่วยในการป้องกันการเสื่อมของสมองโดยกระตุ้นการสร้างเส้นใยประสาทใหม่
- การนอนหลับที่มีคุณภาพ (Sleep hygiene): การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพมีบทบาทสำคัญในการล้างสารพิษและโปรตีนที่สะสมในสมองระหว่างวัน
แม้ว่าโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์จะยังไม่มีการรักษาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การปรับพฤติกรรมและการจัดการกับปัจจัยเสี่ยงสามารถชะลอและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ การป้องกันอัลไซเมอร์ควรเริ่มตั้งแต่การควบคุมปัจจัยด้านการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหาร และการดูแลสุขภาพจิตและการนอนหลับ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่มีบทบาทในการรักษาความสมบูรณ์ของระบบประสาท

เมื่อการป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่การดูแล รับมืออย่างถูกวิธีจะทำให้ภาวะของโรค และความเข้าใจกันในครอบครัวดีขึ้น! วันนี้หมอขอแนะนำวิธีรับมือเมื่อคุณต้องดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ในครอบครัว
การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะโรคสมองเสื่อม (Dementia) หรือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากผู้ป่วยอาจประสบปัญหาทางด้านความจำ การสื่อสาร และพฤติกรรม การดูแลที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงทั้งการดูแลด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม การมีแผนการดูแลที่ครอบคลุมและมีความเข้าใจในอาการของโรคเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
1. การดูแลทางด้านการแพทย์
ผู้ป่วยสมองเสื่อมจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมอ โดยการปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาท (Neurologist) จิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ (Geriatric Psychiatry) แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation) และอาจจะต้องได้รับยารักษาที่แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะและอาการของโรค จะช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ในระยะแรก ๆ ควรติดตามอาการและผลข้างเคียงของยาอย่างใกล้ชิดกับแพทย์เจ้าของไข้ รวมถึงการประเมินภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากโรค เช่น การล้ม และภาวะซึมเศร้า
2. การดูแลทางด้านโภชนาการ
เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมอาจทำให้ผู้ป่วยลืมรับประทานอาหาร หรือลืมดื่มน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหาร และภาวะขาดน้ำ ควรจัดอาหารที่รับประทานง่ายและมีสารอาหารครบถ้วน เช่น การเพิ่มปริมาณโปรตีน วิตามิน B และ E รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) เพื่อช่วยในการป้องกันการเสื่อมของสมอง
3. การจัดการกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง
ผู้ป่วยอาจแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว หรือสับสน ซึ่งต้องจัดการอย่างระมัดระวัง ควรใช้วิธีการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และสงบ โดยหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่มากเกินไป และใช้วิธีการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ญาติควรมีความอดทน และให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิด จะช่วยลดความวิตกกังวลและความสับสนของผู้ป่วยได้
4. การสร้างกิจวัตรประจำวัน
การจัดกิจวัตรประจำวันให้คงที่ เป็นตารางเวลาชัดเจน ผู้ป่วยสมองเสื่อมมักจะสับสนและวิตกกังวลหากมีกิจวัตรที่เปลี่ยนแปลง ควรจัดเวลาในการรับประทานอาหาร ทำกิจกรรม หรือพักผ่อน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยและสามารถคาดเดาเหตุการณ์ในแต่ละวันได้
5. การสนับสนุนทางอารมณ์
ผู้ป่วยมักมีความวิตกกังวล (Anxiety) และซึมเศร้า (Depression) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสมอง การสนับสนุนทางอารมณ์ เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ดูแลควรให้ความสำคัญ ควรใช้บทสนทนาที่สร้างความมั่นใจ และสนับสนุนกิจกรรมที่สร้างความพึงพอใจและเชื่อมโยงกับความทรงจำเก่า (Reminiscence Therapy)
6. การฝึกกระตุ้นสมอง
การกระตุ้นสมอง เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ เช่น การทำกิจกรรมที่ใช้ความคิด การเล่นเกมที่กระตุ้นสมอง หรือการฝึกความจำ ซึ่งมีบทบาทในการรักษาการทำงานของสมองและลดอัตราการเสื่อมถอยของสมอง
7. การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก (TMS Brainwell✚) และคลื่นพัลส์ (TPS Brainwell✚)
ในปัจจุบันพบว่าคนไข้ที่ได้รับการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก TMS และคลื่นพัลส์ TPS ช่วยกระตุ้นความจำ ความไวของสมอง การพูดโต้ตอบ และการใช้ชีวิตประจำวันให้ดีขึ้นได้จริง
- Alzheimer’s Association. (2023). 10 Early Signs and Symptoms of Alzheimer’s
- World Health Organization. (2021). Dementia Fact Sheet
- Mayo Clinic. (2023). Alzheimer’s Disease
จากที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น บางท่านหรือบางครอบครัวอาจจะยังไม่เห็นภาพการรักษาฟื้นฟูที่หมอทำให้กับผู้ป่วยว่าทำอย่างไร ต้องมาหาหมอตอนไหน มาที่หมอแล้วจะช่วยให้ดีขึ้นได้จริงหรือ หรือแม้แต่หลาย ๆ ท่านอาจจะมีคำถามที่สำคัญเลยว่า ค่าใช้จ่ายสูงมากแค่ไหน วันนี้หมอจะมาเล่าตัวอย่างการฟื้นฟูสมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ด้วย TMS Brainwell ✚ และ TPS Brainwell✚ เพื่อให้ทุกท่านได้เตรียมตัวก่อนเรามาพบกันครับ

ผู้ป่วยรายนี้เป็นหญิงไทย อายุ 61 ปี อาชีพแม่บ้าน เริ่มมีปัญหาในการคิดไม่ออก โฟกัสไม่ได้ ไม่มีสมาธิ หลงลืม จากที่เป็นคนชอบพูดก็เริ่มพูดน้อยลง และเริ่มทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ มีอาการซึมเศร้า ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่อยากเข้าสังคม ซึ่งเป็นมานาน 4 ปี
เริ่ม!!!
เมื่อหมอได้ฟังอาการของผู้ป่วยแล้ว สิ่งแรกที่หมอจะถามหาคือ ผลสแกนสมองหรือที่เรารู้จักในชื่อ MRI Brain: ภาพของสมองพบว่ามีสมองฝ่อกระจายทั่วทั้งสมอง ไม่มีถุงน้ำในสมอง มีรอยขาดเลือดที่สมองส่วน Pons ด้านซ้าย ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นสมองฝ่อ แพทย์เจ้าของไข้จึงแนะนำให้มารับคำปรึกษาการกระตุ้นสมองที่ Brainwell Medical ✚ กับหมอครับ
หมอเริ่มซักประวัติลงรายละเอียดเกี่ยวกับยา, วิตามิน หรืออาหารเสริมที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่ในปัจจุบัน (ส่วนนี้สำคัญมาก เพราะหมอจำเป็นต้องวางแผนการกระตุ้นฟื้นฟูสมองรายบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดี เหมาะสมที่สุดกับผู้ป่วยแต่ละรายครับ)
ผู้ป่วยมียาที่รับประทานอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด 7 รายการ ได้แก่ ยาต้านภาวะซึมเศร้า, ยารักษาอัลไซเมอร์, ยานอนหลับ, Vitamin D3, Multi B วิตามินบีรวม, ฮอร์โมนช่วยการนอนกลับ และยารักษาอาการวิตกกังวล

ขั้นตอนสุดท้าย ก่อนเข้าได้รับโปรแกรมวางแผนการกระตุ้นฟื้นฟูสมองด้วย TPS Brainwell ✚ หรือ TMS Brainwell ✚ ก็คือการตรวจประเมิน qEEG Brain Mapping Brainwell ✚ คือ แผนที่สมองของผู้ป่วยนั่นเอง
ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีแผนที่สมองที่แตกต่างกันตามอาการของโรค สำหรับผู้ป่วยรายนี้ แผนที่สมองวิเคราะห์ปริมาณคลื่นสมอง พบคลื่น Beta มีสีฟ้าและน้ำเงินที่สมองส่วนด้านหลัง แปลความได้ว่า
- คลื่นเบต้า Beta: เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่ประมาณ 13 ถึง 30 Hz ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคิดอย่างกระตือรือร้น การจดจ่อ และความตื่นตัว
- สีฟ้า: ความเข้มหรือปริมาณของคลื่นสมองในพื้นที่นั้นต่ำ
- ส่วนหลังของสมอง: เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการมองเห็น การรับรู้เชิงพื้นที่ ความจำ การรับรู้ทางประสาทสัมผัสต่างๆ การแยกแยะ
ดังนั้นในรายนี้เมื่อพิจารณาจากอาการ MRI Brain และ qEEG Brain Mapping พบว่าสมองมีการทำงานลดลง โดยเฉพาะการเรียนรู้ใหม่ๆ และความจำ
หมอได้วางแผนการกระตุ้นฟื้นฟูสมองสำหรับผู้ป่วยรายนี้ดังนี้
- กระตุ้นสมองด้วยคลื่นพัลส์ (TPS, Transcranial pulse stimulation) ต่อเนื่อง 6 ครั้ง
- กระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก (TMS, Transcranial magnetic stimulation) ต่อเนื่อง 40 ครั้ง
- ระยะเวลาทั้งสิ้น 12 เดือน
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนของการเข้ารับการกระตุ้นฟื้นฟูสมอง หมอได้มีการเก็บบันทึกพัฒนาการของการกระตุ้นฟื้นฟูสมองทุกครั้ง เพื่อเป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ อันสร้างความไว้ใจ เชื่อมั่นในการให้บริการทางการแพทย์ของ Brainwell Medical✚
นอกจากนี้ ผู้ป่วยและครอบครัวจะต้องแจ้ง update รายงานกับหมอเป็นระยะด้วยเช่นเดียวกัน โดยหมอได้รับรายงานจากครอบครัวดังนี้
- การพูดและความจำ: คนไข้สามารถพูดคุยได้มากขึ้น จำชื่อเพื่อนได้ดีขึ้น
- การตอบสนอง: ฟังและตอบสนองได้เร็วขึ้น, ร้องเพลงและพูดคุยมากขึ้น
- ความสนใจ: เริ่มสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
- คะแนนภาวะสมองเสื่อม: จาก 1 คะแนน (รุนแรง) ดีขึ้นเป็น 14 คะแนน (ดีขึ้น)
- คะแนนความซึมเศร้า: จาก 26 คะแนน (ซึมเศร้าสูง) ดีขึ้นเป็น 11 คะแนน (ดีขึ้น)
ค่าใช้จ่ายทั้งกระบวนการ:
- การตรวจและวินิจฉัยเบื้องต้น: 2,000 บาท
- การกระตุ้นสมองด้วย TPS Brainwell ✚ (คลื่นพัลส์) : 90,000 บาท
- การกระตุ้นสมองด้วย TMS Brainwell ✚ (คลื่นแม่เหล็ก): 90,000 บาท
- รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด: 182,000 บาท ในระยะเวลา 12 เดือน
หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและสมอง หรือแพทย์เฉพาะทางด้านการฟื้นฟูสมอง #ฟื้นฟูสมองกับหมอสมรส เพื่อรับคำแนะนำและการตรวจวินิจฉัยที่เหมาะสม ความเข้าใจและการดูแลเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับโรคนี้!